ทำความรู้จักโปรแกรม Hide My Ass! Pro VPN

Hide My Ass! Pro VPN ถ้าคุณคิดที่จะล่องหนบนโลกออนไลน์ นี้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คลิกเพื่ออ่านความสามารถขอโปรแกรมนี้กันเลย..

ทำความรู้จักโปรแกรม Hide My Ass! Pro VPN

Hide My Ass! Pro VPN ถ้าคุณคิดที่จะล่องหนบนโลกออนไลน์ นี้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คลิกเพื่ออ่านความสามารถขอโปรแกรมนี้กันเลย..

ทำความรู้จักโปรแกรม Hide My Ass! Pro VPN

Hide My Ass! Pro VPN ถ้าคุณคิดที่จะล่องหนบนโลกออนไลน์ นี้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คลิกเพื่ออ่านความสามารถขอโปรแกรมนี้กันเลย..

ทำความรู้จักโปรแกรม Hide My Ass! Pro VPN

Hide My Ass! Pro VPN ถ้าคุณคิดที่จะล่องหนบนโลกออนไลน์ นี้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คลิกเพื่ออ่านความสามารถขอโปรแกรมนี้กันเลย..

ทำความรู้จักโปรแกรม Hide My Ass! Pro VPN

Hide My Ass! Pro VPN ถ้าคุณคิดที่จะล่องหนบนโลกออนไลน์ นี้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คลิกเพื่ออ่านความสามารถขอโปรแกรมนี้กันเลย..

Labels:

การใช้งาน VPN สำหรับเล่นเกม



การใช้งาน VPN (Virtual Private Network) สำหรับเล่นเกมมีประโยชน์หลายอย่าง ซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์ในการเล่นเกมได้ ดังนี้:


1. ลดความเสียหายจากการแลค (Lag): หากคุณเล่นเกมออนไลน์แล้วประสบปัญหาการแลคที่น่ารำคาญ เช่น ความสะดวกในการใช้งาน VPN จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณเล่นเกมกับผู้เล่นที่อยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ห่างไกล


2. การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย: VPN ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของการเชื่อมต่อของคุณเมื่อเล่นเกมออนไลน์ โดยการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งไป-มาระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ของเกม จะช่วยป้องกันการดักจับข้อมูลส่วนบุคคลหรือการโจมตีทางไซเบอร์จากบุคคลที่ไม่ประสงค์ดี


3. เข้าถึงเกมหรือเว็บไซต์ที่ถูกจำกัด: บางครั้ง เกมหรือเว็บไซต์บางแห่งอาจมีการจำกัดการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์ ด้วยการใช้ VPN คุณสามารถเปลี่ยนที่อยู่ IP ของคุณเพื่อเข้าถึงเกมหรือเว็บไซต์เหล่านั้นได้


การใช้งาน VPN เพื่อเล่นเกมสามารถทำได้โดยติดตั้งและกำหนดค่า VPN บนอุปกรณ์ของคุณ หลายบริการ VPN มีแอปพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์ที่พกพา เช่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้จากที่เว็บไซต์หรือร้านค้าแอปสโตร์ของผู้ให้บริการ VPN ต่าง ๆ


อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าการใช้งาน VPN อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเพิ่มค่าและความล่าช้าในการเชื่อมต่อเกม ดังนั้น ควรเลือกบริการ VPN ที่มีเซิร์ฟเวอร์ใกล้เคียงสถานที่ของคุณเพื่อลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพเกมให้มากที่สุด


ข้อดีข้อเสียของการใช้ VPN เล่นเกม

การใช้ VPN เพื่อเล่นเกมมีข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ ดังนี้:

ข้อดีของการใช้ VPN เล่นเกม:
1. เข้าถึงเกมที่ถูกจำกัด: VPN ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเกมหรือเว็บไซต์ที่ถูกจำกัดตามภูมิศาสตร์ได้ โดยเปลี่ยนที่อยู่ IP ของคุณเพื่อสร้างการเชื่อมต่อจากสถานที่ที่ยอมรับได้ เช่น ถ้ามีเกมที่มีเซิร์ฟเวอร์ในประเทศที่ไม่ให้บริการในประเทศของคุณ คุณสามารถใช้ VPN เพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์นั้นได้.

2. ความเสถียรในการเชื่อมต่อ: VPN อาจช่วยลดปัญหาการแลค (Lag) และความไม่เสถียรในการเชื่อมต่อ โดยเชื่อมต่อผ่านเซิร์ฟเวอร์ VPN ที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของคุณ ทำให้มีการส่งข้อมูลที่รวดเร็วและความเสถียรในการเล่นเกมเพิ่มขึ้น.

3. ความปลอดภัยของการเชื่อมต่อ: VPN ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่อของคุณเมื่อเล่นเกมออนไลน์ โดยการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งไป-มาระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ของเกม สิ่งนี้ช่วยป้องกันการดักจับข้อมูลส่วนบุคคลหรือการโจมตีทางไซเบอร์จากบุคคลที่ไม่ประสงค์ดี.

ข้อเสียของ

การใช้ VPN เล่นเกม:
1. ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ: การใช้ VPN อาจทำให้มีความล่าช้าในการเชื่อมต่อ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการแลคในเกมหรือส่งสัญญาณที่ไม่เสถียร.

2. ความเสี่ยงของการเลือกใช้ VPN ที่ไม่น่าเชื่อถือ: บางครั้ง คุณอาจพบบริการ VPN ที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจเกิดปัญหาความเสียหายในความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยของข้อมูลของคุณ ดังนั้นควรเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ.

3. ค่าใช้จ่าย: บางบริการ VPN อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเฉพาะหากคุณต้องการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ VPN ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือประเทศที่มีความเสียหายสูง คุณควรพิจารณาค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก่อนที่จะเลือกใช้ VPN.

คุณควรพิจารณาความเหมาะสมของการใช้ VPN เล่นเกมในแต่ละสถานการณ์ และควรทดลองใช้ VPN จากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเล่นเกมออนไลน์

0 comments
Labels:

VPN กับ Proxy ต่างกันอย่างไร?


 VPN และ Proxy เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ (real-time) แต่มีความแตกต่างกันดังนี้


1. การใช้งาน: VPN ใช้งานโดยการเชื่อมต่อเครือข่ายจากอุปกรณ์ของผู้ใช้งานไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ VPN ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ส่วน Proxy จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อเครือข่ายแทนผู้ใช้งาน


2. การปกป้องข้อมูล: VPN จะเข้ารหัสข้อมูลก่อนส่งผ่านเครือข่าย ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีไม่สามารถดักจับและอ่านข้อมูลได้ ส่วน Proxy จะไม่เข้ารหัสข้อมูลที่ผ่านเครือข่าย


3. ความเร็ว: VPN มีการเชื่อมต่อแบบเป็นส่วนตัว (dedicated connection) ซึ่งทำให้มีความเร็วในการเชื่อมต่อสูงกว่า Proxy ที่จะใช้เครือข่ายร่วมกันกับผู้ใช้งานอื่นๆ ในบริเวณเดียวกัน


4. การเข้าถึงเนื้อหา: VPN ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัดภายในเครือข่ายได้ ส่วน Proxy อาจช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัดได้บางส่วน แต่ไม่สามารถเป็นที่เชื่อมต่อกับเนื้อหาที่ถูกจำกัดได้อย่างเต็มที่เหมือน VPN

Image source: https://www.smartdnsproxy.com/news/vpn/key-differences-between-proxies-and-vpns-518.aspx

0 comments
Labels:

VPN ยังจำเป็นไหม?

การใช้ VPN (Virtual Private Network) ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยเฉพาะในการทำงานระยะไกล (remote work) หรือการใช้งานอินเทอร์เน็ตในที่สาธารณะ เนื่องจาก VPN ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและข้อมูลสำคัญของผู้ใช้งานจากการถูกโจมตีจากผู้ไม่ประสงค์ดี และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้รับการป้องกันด้วยการเข้ารหัสข้อมูล (unencrypted) ซึ่งอาจทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าถึงและดักจับข้อมูลของผู้ใช้งานได้โดยง่าย ดังนั้น VPN ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนตัวหรือธุรกิจก็ตาม การใช้ VPN ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรละเลย.


ในยุคปัจจุบัน VPN เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในช่วงการทำงานระยะไกล (remote work) ที่ผู้ใช้งานต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กรผ่านอินเทอร์เน็ต การใช้ VPN จะช่วยป้องกันการเจาะระบบและการดักจับข้อมูลของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ นอกจากนี้ VPN ยังช่วยเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัดภายในเครือข่ายในบางกรณี เช่น การเข้าถึงเนื้อหาจากต่างประเทศ หรือการใช้งานบริการเว็บไซต์ที่มีการจำกัดตามพื้นที่ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการติดตามการใช้งานของผู้ใช้งานด้วย


นอกจากการใช้งาน VPN สำหรับการทำงานระยะไกลแล้ว ยังมีการใช้งาน VPN เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ตในที่สาธารณะ เช่น การเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะในสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันการดักจับข้อมูลและการโจมตีร้ายแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายในสถานการณ์ดังกล่าว ดังนั้นการใช้งาน VPN ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน.

0 comments
Labels:

VPN มหาลัยมีไว้ทำไม?

 
VPN สำหรับมหาวิทยาลัย


ทําไมถึงต้องใช้ VPN? 

เนื่องจากปัจจุบันการติดต่อสื่อสารถือว่าเป็นสิ่งที่มีความจําเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยถ้าเราต้องการการ เชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยระหว่าง Network บริการที่ดีที่สุดคือ การเช่าสายสัญญาณ (leased line) ซึ่งจะทําการเชื่อมต่อระบบเน็ตเวิร์คของเราด้วยการใช้สายสัญญาณตรงสู่ปลายทาง ทําให้มีความปลอดภัย สูงเพราะไม่ต้องมีการใช้สื่อกลางร่วมกับผู้อื่น และมีความเร็วคงที่ แต่การเช่าเสาสัญญาณนั้นมีข้อเสียคือ ค่าใช้จ่าย ในการใช้บริการนั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับความเร็วที่ได้รับ ซึ่งบริษัทขนาดเล็กนั้นคงไม่สามารถทําได้ เทคโนโลยี VPN ได้เข้ามาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากได้ใช้สื่อกลางคือ Internet ที่มีการติดตั้งอยู่ อย่างแพร่หลายเข้ามาสร้างระบบเน็ตเวิร์คจําลอง โดยมีการสร้างอุโมงค์ข้อมูล (Tunnel) เชื่อมต่อกันระหว่างต้น ทางกับปลายทาง ทําให้เสมือนว่าเป็นระบบเน็ตเวิร์คเดียวกัน สามารถส่งข้อมูลต่างๆที่ระบบเน็ตเวิร์คทําได้ โดย ข้อมูลที่ส่งนั้นจะถูกส่งผ่านไปในอุโมงค์ข้อมูล ทําให้มีความปลอดภัยสูง ใกล้เคียงกับ leased line แต่ค่าใช้จ่าย ในการทํา VPN นั้นต่ํากว่าการเช่าสายสัญญาณมาก

สำหรับมาวิทยาลัยมี VPN ไว้เพื่ออะไร?

คำตอบคือเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับบุคคลากรในมหาลัยเอง ซึ่งในกรณีที่ผู้ใช้งานที่เป็นอาจารย์ หรือเจ้าหน้าที่มหาลัย ไม่ก็อาจจะเป็นนักศึกษาที่ต้องการสืบค้นข้อมูล หรือเข้าสู่ระบบที่สามารถเข้าใช้งานโดย IP ของมหาลัยเท่านั้น เข้าจากภายนอกมหาลัยได้ โดยวิธีการก็เพียงแค่เชื่อมต่อผ่าน VPN เพื่อทำให้ตัวเองเสมือนอยู่มหาลัยแล้วใช้เข้าบริการต่างๆเช่น เข้าสืบค้นข้อมูลงานวิจัยของมหาลัย หรือเข้าระบบเครือข่ายเอกสารของมหาลัยนั้นเอง

สำหรับใครที่ยังงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่เจ้า VPN เนี้ยลองจินตนาการดังนี้ดูครับ
  1. คุณมี office อยู่ที่ กรุงเทพ  และเชียงใหม่  โดยกรุงเทพ มี LAN IP : 192.168.0.xx  เชียงใหม่ IP 192.168.1.xx
  2. คุณหรือเจ้านายคุณอยากจะ   Map Drive แชร์ไฟล์ระหว่าง กรุงเทพเชียงใหม่
  3. โดยให้ IP 192.168.0.xx และ 192.168.1.xx  ติดต่อกันได้  แต่บริษัทคุณใช้ Internet ADSL
VPN  ทำให้  คุณสามารถติดตต่อระหว่าง กรุงเทพ  กับเชียงใหม่ได้  ผ่าน Internet ADSL หลักการคราวๆก็ประมาณนี้เหละครับ

สำหรับใครที่ต้องการเชื่อมต่อ VPN คุณภาพดีไปยังต่างประเทศอื่นๆมากกว่า 350 ประเทศนั้นแนะนำเป็น hidemyass vpn ที่คุณภาพดีและราคาไม่แพงสนใจสมัครใช้งานได้ที่นี้เลย


https://checkout.hidemyass.com/affiliate.php?ACCOUNT=PRIVAXLT&AFFILIATE=96402&PATH=https%3A%2F%2Fwww.hidemyass.com%2Faffiliate%2Favangate&AFFSRC=blogger





0 comments
Labels:

วิธีใช้งาน OpenVPN สำหรับ Android

 
OpenVPN Android

ติดตั้งโปรแกรม OpenVPN บนโทรศัพท์ Android ของคุณ:

ขั้นที่ 1 ดาวน์โหลดและติดตั้ง OpenVPN ไปที่ GooglePlay เก็บ, การค้นหาและดาวน์โหลด "OpenVPN Connect" Apps

ขั้นที่ 2 ส่งอีเมล์ด้วยไฟล์ .ovpn ไปยังโทรศัพท์หุ่นยนต์ / Pad ของคุณ  คุณสามารถขอให้ผู้จัดการเซิร์ฟเวอร์ OpenVPN ที่จะส่งอีเมลที่มีไฟล์ client.ovpn ไปยังที่อยู่อีเมลและการดาวน์โหลดของคุณที่ .ovpn ไฟล์ไปยังโทรศัพท์

ขั้นที่ 3 การติดตั้งและเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ VPN  (1) แอพพลิเคชันเปิด OpenVPN เชื่อมต่อและนำเข้าแฟ้ม client.ovpn  (2) ป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านและคลิกเชื่อมต่อ (3) คุณสามารถเห็นหน้าจอด้านล่างในกรณีที่ประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อ

อยากใช้งานง่ายกว่านั้นแนะนำ VPN แบบไม่ฟรีแต่ให้คุณเลือกใช้งานได้มากถึง 350 ประเทศ แถมราคาไม่แพงสมัคร Account เดียวใช้ได้ทั้งบนมือถือ แท็บเล็ต หรือจะเป็นคอมพิวเตอร์ สนใจลองสมัครใช้ดูเริ่มต้นเพียงแค่ 175 บาท ใช้งานได้ตั้ง 1 เดือน (คลิกสมัครเปิด Account!)


https://www.hidemyass.com/vpn/r10696:3/







0 comments
Labels:

เล่น Pokémon Go ด้วย VPN

เป็นที่ฮือฮาแต่ยังไม่เปิดให้คนไทยเล่นอย่างเป็นทางการเสียที เพราะตอนนี้ตัวเกมส์ยังไม่สามารถเปิดเล่นได้ทุกประเทศ และประเทศไทยเราก็ยังไม่มีใน List ตอนนี้ด้วย (เช็คล่าสุด 31/07/2559) มีประเทศที่สามารถเล่นได้เพียงแค่นี้เท่านั้น

ประเทศเล่น pokemon go ได้
 โดยคนไทยอย่างเราก็คงต้องรอให้เปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งมันก็คงช้าออกไป สำหรับใครที่อยากจะลองเล่นก่อนคนอื่นๆเขานั้นต้องพึ่งพา VPN นี้ละที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมส์ที่เราสามารถเลือกประเทศได้เลย แถมช่วงนี้เป็นช่วงลดราคาใครที่ซื้อ VPN มาเล่นได้ส่วนลดมากถึง 57% เลยนะ จ่ายเงินแค่ 4.99 (ประมาณ 175 บาท) เล่นได้ทั้งเดือน แถมเอาไปเล่นเกมส์อื่นๆที่ยังไม่เปิดให้คนไทยได้ด้วยทุกเกมส์ ทุประเทศมี Server ประเทศให้เลือกกว่า 350 ประเทศเลย..

ใช้งานไม่ยุ่งยากเพียงแค่สมัครเปิด Account แล้วก็เลือกประเทศจากนั้นก็เริ่มเล่นได้เลย สำหรับบนมือถือก็เปิดแอพพลิเคชั่นแล้วก็กรอกข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานแล้วก็เริ่มเล่นเกมส์ตามใจเราได้เลย

https://www.hidemyass.com/vpn/r10696:3/


ใครสนใจก็เลือกเปิดบัญชีได้เลยที่นี้ สมัคร VPN ราคาประหยัด กับ hidemyass คลิก!


0 comments
Labels:

VPN Application สำหรับ iPhone ฟรีดาวโหลด!

VPN Application

สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน VPN เพื่อปิดบังการเข้าถึงเว็บไซต์ การตรวจสอบประเทศ หรือตำแหน่งที่ตั้งของคุณ VPN Application จึงเป็นทางเลือกที่ง่ายดาย ไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยากเพียงแค่ติดตั้งเหมือนการติดตั้ง Application อื่นๆ ก็สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที

HMA! Pro VPN Application for iPhone/iPad

ทั้งนี้ยังสามารถเลือกประเทศและตั้งตามที่ต้องการโดยมีให้เลือกมากถึง 115 สถานที่ใน 62 ประเทศและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ Application ยังรองรับทั้ง iPhone, iPad อีกด้วย

HideMyAss.com

สำหรับท่านที่ยังไม่รู้ว่าจะมี VPN ไว้ทำไมขอแนะนำรายละเอียดเบื้องด้นดังนี้

คุณจะต้อง VPN ทำไม?

เมื่อใดก็ตามที่คุณใช้งานอินเตอร์เน็ตสาธารณะแน่นอนคุณจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของการใช้งาน ยิ่งถ้าคุณใช้ Free Wifi ของบ้านเราด้วยแล้วทำให้อาจจะเสี่ยงได้เพราะอาจจะเกิดความรั่วไหลของข้อมูลและทำให้เสียทรัพยื์สินได้นั้นเอง แต่ถ้าคุณใช้งาน HMA! Pro VPN ผ่าน Application แล้วก็สามารถเชื่อมต่อได้ทุกที่อย่างมั่นใจได้ทันที

เริ่มต้นใช้งานได้ยังไง?

การเริ่มใช้งานนั้นง่ายดาย เพียงแค่คุณดาวโหลด HMA! Pro VPN Application ฟรี! และ สมัครสมาชิกผ่านหน้าเว็บไซต์โดยสามารถเลือกระยะเวลาใช้งานตามต้องการโดยมีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เพื่อความปลอดภัยมากกว่าที่คุณไม่ควรจะเสี่ยง! โดยเฉพาะการทำธุรกิจ หรือธุรกรรมทางการเงินผ่าน iPhone หรือ iPad นั้นสำคัญมาก

ความช่วยเหลือในกรณีเกิดปัญหาการใช้งาน

หากมีปัญหาใดๆ จะมีเจ้าหน้าที่ตอบคำถามการใช้งาน App โดยตรง และมีทีมบริการลูกค้าผ่านทางช่องทางการ Chat ผ่านหน้าเว็บ หรือ Email และโทรศัพท์

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำงานผ่านมือถือ iPhone หรือ iPad และเป็นเรื่องที่สำคัญ คุรควรใส่ใจเรื่องความปลอดภัยและนี่เป็นเครื่องมือป้องกันที่คุณเองสามารถใช้งานได้ง่ายๆ



คลิกเพื่อดาวโหลดฟรี และสมัครสมาชิก!

Labels:

VPN iPhone และการตั้งค่าการใช้งาน


VPN iPhone

สำหรับท่านที่มีมือถือไอโฟน (iPhone) น่าจะเห็น Virtual Private Network กันบ้างแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร วันนี้จะมาแนะนำว่ามันคืออะไร และจะตั้งค่าการใช้งานอย่างไร

จริงๆแล้ว VPN นั้นไม่ได้มีอยู่ในมือถือ iPhone เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่ยังพบว่ามีการนำไปใช้ใน iPad และถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะพบอยู่บนคอมพิวเตอร์ด้วย มีความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการสื่อสารหรือการเข้าถึงข้อมูลที่แต่ละองค์กรอยากจะให้เก็บไว้เป็นความลับ

VPN ใน iPhone คืออะไร?

อธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆก็น่าจะบอกว่า เป็นระบบที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างกลุ่มหรือองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูล และขอบคุณ iPhone ที่มีคุณสมบัตินี้ทำให้สะดวกการเข้าถึงข้อมูล VPN เพราะมือถือสามารถพกพาไปได้ทุกที่ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์

สำหรับท่านที่สงสัยมานานว่า VPN ใน iPhone นั้นเค้ามีไว้เพื่ออะไร เราก็ได้ตอบไปในบทความที่แล้วโดยท่านสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ VPN iPhone คืออะไร และเวลานี้ก็ถึงช่วงที่เราต้องมาเรียนรู้วิธีการตั้งค่า VPN iPhone มาดูกันว่าจะใส่ข้อมูลอย่างไรเพื่อ connect iPhone โดยวิธีการทำนั้นก็ไม่ยากครับ ทำเพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอนก็ได้แล้ว  เรามาดูการตั้งค่า VPN iPhone กัน บางทีสามารถนำวิธีนี้ไปปรับใช้กับ iPad ด้วยก็ได้นะครับ ด้วยความที่ว่าเป็น iOS เหมือนกันวิธีการตั้งค่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกันมาก และที่สำคัญถ้าหากว่าตั้งค่าเป็นแล้ว ทุกๆท่านก็จะได้ใช้ประโยชน์ตรงนี้ไปได้อีกเยอะเลยทีเดียว

การตั้งค่า VPN iPhone 

การตั้งค่า VPN iPhone


  1. แน่นอนครับว่าเมื่อเราต้องการที่จะใช้งานเจ้า VPN เราก็จะต้องไปเปิดการใช้งานของ VPN ใน iPhone หรือ iPad กันเสียก่อน โดยเข้าไปที่ Setting แล้วเลือก General กดที่ Network จบที่การเลือกช่องให้เป็น VPN
  2. ขั้นตอนที่สองนี้คุณจำเป็นจะต้องสอบถามข้อมูลมาจากองค์กรที่คุณต้องการจะเชื่อมต่อ เพราะว่าเราจะต้องไปตั้งค่าให้กับการเชื่อมต่อครับ โดยการคลิกเลือก Connection ที่แทบ PPTP ถึงขึ้นนี้จะปรากฏเป็นฟอร์มขึ้นมาให้เราใส่ข้อมูลการเชื่อมต่อที่ได้มาจากองค์กรดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ก็ใส่ให้ครบทุกช่องนะครับ เช่น Description, Server, Account, และ Password แล้วก็กดปุ่มเซฟได้เลยครับผม (สำหรับท่านที่มองหา Username และ Password สำหรับใช้งาน VPN ดีๆสักที่แล้วละก็ ลองศึกษาข้อมูล Hide My Ass! Pro VPN ดูนะครับ เพราะสามารถนำมาใช้งานในส่วนนี้ได้!)
  3. ขั้นตอนนี้จะเป็นการเริ่มการเชื่อมต่อ iPhone ไปยังเครือข่ายองค์กรของคุณผ่านทาง VPN แล้วนะครับ โดยก่อนอื่นเลยต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้ใช้งานได้ให้เรียบร้อยซะก่อน เพราะว่าระบบ VPN จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้น เราจะทำการเปิดการเชื่อมต่อโดยไปที่ Network จะสังเกตเห็นว่ามี ตัวเลือกของ VPN ปรากฏขึ้นมาให้เรากด ON เพื่อทำการเปิด หรือ OFF เพื่อปิด VPN ในที่เราก็เลือก ON ครับ หลังจากนั้นระบบก็จะแจ้งสถานการณ์เชื่อมต่อให้เราทราบ


การตั้งค่า VPN iPhone นั้นในขณะที่กำลังใช้งานอยู่ก็สามารถสังเกตได้ง่ายๆว่าเครื่องของเราได้เชื่อมต่อกับระบบ VPN อยู่หรือไม่ โดยจะมีไอคอนบอกอยู่ทางด้านบนของหน้าจอมือถือ iPhone หรือ iPad ของคุณนั้นเอง และสำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจลองดูรายละเอียดแนะนำการตั้งค่าตาม Video นี้ดูครับ



สำหรับการใช้งานเบื้องต้นที่อธิบายนั้นสามารถเอาไปทดลองทำได้ครับ เชื่อว่าหลายคนพอจะหายข้อใจเกี่ยวกับ VPN บน iPhone กันบ้างแล้ว เอาละยังไงเมื่อเชื่อมต่อแล้วอย่าลืม ปิดกลับเป็นเหมือนเดิมด้วยนะครับ เพราะบางครั้งเวลาใช้งานมันอาจจะช้ากว่าเข้าผ่าน Real IP จริงๆครับ
Virtual Private Network
Virtual Private Network

0 comments
Labels:

Secure Socket Layer Virtual Private Network (SSL VPN)

เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันเป็นเรื่องใกล้ตัว และ เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงช่องสัญญาณในการใช้งานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเทียบกับค่าบริการที่ลดลง ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันสามารถทำได้อย่างสะดวกสบายขึ้น แนวคิดของการทำงานได้จากทุกสถานที่ (Work Anywhere) จึงเริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้น ซึ่งการรักษาความลับของข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง และ เทคโนโลยีหนึ่งที่เข้ามามีส่วนสำคัญในเรื่องนี้คือ ระบบเครือข่ายเสมือน (Virtual Private Network – VPN)

ในปัจจุบัน ด้วยภาวะการแข่งขันทางการตลาดของผู้ให้บริการ ทำให้มีรูปแบบการเชื่อมต่อใหม่ๆ ที่มีความเร็วในการเชื่อมต่อสูงเกิดขึ้น เช่น High speed ADSL, Wi-Fi 802.11n หรือ โครงข่าย 3G ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงเทียบกับการเชื่อมต่อแบบเดิมๆ ทำให้ปัญหาเรื่องช่องทางการสื่อสารไม่เพียงพอหายไป การเชื่อมต่อแบบ VPN ระหว่าง บุคลากร – องค์กร จึงเริ่มมีการนำมาใช้งานมากขึ้น โดยในช่วงแรกจะใช้การสร้างโปรแกรมเสริมเพื่อนำไปลงบนระบบปฏิบัติการต่างๆ ขึ้นมาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อระบบ IPSEC VPN กับอุปกรณ์ที่สำนักงานใหญ่มีอยู่ได้ แต่มีความยุ่งยากในเรื่องการใช้งาน และ การบำรุงรักษา ทำให้เกิดแนวคิดในการทำ VPN ในระดับที่สูงขึ้นซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวคือ Secure Socket Layer VPN หรือ SSL VPN นั่นเอง

SSL VPN


เป็นการสร้าง VPN ในระดับ Application Layer ผ่านพอร์ต 443 ซึ่งสามารถเชื่อมต่อได้ผ่าน Web Browser โดยทั่วไปที่รองรับการเรียกใช้งาน (HTTPS://) ซึ่ง Web Browser ในปัจจุบันการใช้งานดังกล่าวถือเป็นการทำงานพื้นฐานที่ต้องรองรับอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับ IPSEC VPN แล้ว SSL VPN จะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ดูแลระบบในการบำรุงรักษา เนื่องจากผู้ใช้งาน “ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเสริม” ทำให้ปัญหาเนื่องจากการติดตั้ง และ การใช้งานน้อยลง นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังไม่ถูกจำกัดการทำงานอยู่บนเครื่องใดเครื่องหนึ่งอีกด้วย

SSL VPN

นมุมมองของการรักษาความปลอดภัยข้อมูล SSL-VPN จะใช้กลไกในการแลกเปลี่ยน Key สำหรับการเข้ารหัสข้อมูล โดยจะรับ Public Key ที่ถูกแจกจ่ายมาผ่านทาง Certificate Authority (CA) เพื่อใช้ในการถอดรหัสจาก Private Key ที่เครื่องแม่ข่าย หรือ อุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน SSL VPN ไว้ ซึ่งเป็นกลไกที่ Web Browser โดยทั่วไปใช้สำหรับการเรียกใช้งาน SSL ผ่าน HTTPS อยู่แล้ว

เมื่อเทียบกันแล้ว IPSEC VPN จะเชื่อมต่อโดยใช้การสร้างท่อ และ จ่าย IP Address ภายในองค์กรให้ การควบคุมการใช้งานจะถูกจัดการที่อุปกรณ์ Layer 3 เช่น Router หรือ Firewall ซึ่งสามารถควบคุมการเข้าถึงเครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องได้ แต่ไม่สามารถควบคุมชนิดของ Application ที่สามารถใช้งานในเครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องได้ ซึ่งผิดกับ SSL VPN ที่เป็นการทำงานบน Application Layer ทำให้การควบคุมสิทธิเข้าใช้งานของผู้ใช้งานสามารถทำได้ละเอียดกว่า โดยสามารถระบุชนิดของ Application ที่ผู้ใช้งานแต่ละคนสามารถใช้ได้ เช่น File Sharing, Microsoft Exchange, Lotus Note, Web Application เป็นต้น ทำให้การกำหนดการใช้งานของพนักงานสามารถดำเนินการได้โดยยึดถือนโยบายขององค์กรเป็นสำคัญ

ดังนั้นสำหรับการทำงานของผู้ใช้งานที่ต้องอยู่ภายนอกองค์กร หรือ มีความจำเป็นต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ แต่ยังคงต้องเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่นสำหรับใช้งานภายในองค์กรแล้ว SSL VPN จึงมีความสะดวก และ เหมาะสมกว่า IPSEC VPN แต่ IPSEC VPN เองก็ยังคงมีการใช้งาน โดยนำไปใช้ในงานสำหรับการเชื่อมต่อที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น การเชื่อมต่อระหว่าง องค์กร กับ องค์กร ซึ่งมีปริมาณผู้ใช้งานที่มากกว่า

ที่มา : https://checkout.hidemyass.com/affiliate.php?ACCOUNT=PRIVAXLT&AFFILIATE=96402&PATH=https%3A%2F%2Fwww.hidemyass.com%2Faffiliate%2Favangate&AFFSRC=blogger

0 comments
Labels:

การทำงานของ IPSec VPN


IPSec VPN process

เอาล่ะครับ เมื่อทำความรู้จักกับค่าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว เราก็จะมาดูขั้นตอนในการทำงานของ IPSec VPN กันครับ

  • ขั้นที่ 1 Interesting Traffic เป็นการคัดเลือกทราฟิกที่ต้องการใช้งาน IPSec VPN หรือเลือกทราฟิกที่ต้องการส่งเข้าไปใน Tunnel ไปยังเครือข่ายปลายทาง เนื่องจากในการใช้งานจริงนั้นอาจจะมีทราฟิกที่ต้องการใช้งานระหว่างเครือข่ายภายในที่ต้องการใช้งาน IPSec VPN กับทราฟิกทั่วไปที่ใช้งานปกติ เช่น เปิดอินเทอร์เน็ตหรือ E-mail ต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการใช้งาน IPSec VPN ครับ ซึ่งในขั้นตอนการตั้งค่าในขั้นตอนนี้เราจะใช้ access-list ในการคัดเลือกทราฟิกครับ
  • ขั้นที่ 2 IKE Phase 1 เป็นขั้นตอนในการเริ่มทำการติดต่อสื่อสารกันระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ IPSec VPN โดยจะมีการแลกเปลี่ยน ISAKMP Policy Set ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ระหว่างอุปกรณ์ เพื่อจะนำมาสร้าง ISAKMP SA อีกทั้งยังมีการพิสูจน์ตัวตนระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้ทำ IPSec VPN ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ เช่น การตรวจสอบ Preshared key ที่กำหนดไว้บนอุปกรณ์ทั้งสองฝั่ง ว่าตรงกันหรือไม่อีกด้วย
  • ขั้นที่ 2.5 IKE Phase 1.5 (ทางเลือก) เป็นขั้นตอนในการพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้เช่น การถาม username และ password ของผู้ใช้ โดยจะต่างจาก IKE Phase 1 ที่จะทำการพิสูจน์ตัวตนของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ IPSec VPN ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจจะไม่ถูกใช้งานเสมอไป โดยจะใช้งานเฉพาะการใช้ IPSec VPN แบบ Client to Site หรือ Easy VPN เท่านั้น
  • ขั้นที่ 3 IKE Phase 2 เป็นขั้นตอนในการแลกเปลี่ยน IPSec Transform Set เพื่อนำมาสร้าง IPSec SA โดยข้อมูลที่รับ-ส่งกันในขั้นตอนนี้จะถูกรักษาความปลอดภัยตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้ใน ISAKMP SA เช่นการเข้ารหัสในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น
  • ขั้นที่ 4 Data Transfer เมื่อทำการสร้าง IPSec SA เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะสามารถที่จะรับ-ส่งข้อมูลกันระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ IPSec VPN ได้ โดยข้อมูลที่รับ-ส่งกันนี้จะถูกรักษาความปลอดภัยโดยการเข้ารหัสและการตรวจสอบความถูกต้องตามที่ได้กำหนดไว้ใน IPSec SA ที่สร้างขึ้นมา
  • ขั้นที่ 5 IPSec Termination เป็นขั้นตอนในการยุติการใช้งาน IPSec VPN เนื่องจากการยกเลิก Tunnel หรือ หมดเวลา lifetime ที่ได้กำหนดเอาไว้
ที่มา : http://running-config.blogspot.com/2011/01/ipsec-vpn.html

0 comments
 
VPN Hide IP © 2012-2013 | Designed by Plantillas Blogger | ข่าวไอที โดย ไอทีเมามันส์